วรรณกรรมเรื่องล่าสุดที่ผมมีโอกาสได้อ่านจนจบอีกเล่มหนึ่ง เป็นหนังสือที่หนาที่สุดที่เคยอ่าน 1328 หน้า หนาและหนัก และก็หนักกว่าไวโอลิน 2 ตัวรวมกันเสียอีก ลองชั่งดูมันหนัก 1.3 กิโลกรัม เป็นอุปสรรคเดียวในการอ่านหนังสือเล่มนี้ ..........บทสรุปที่ปกหนังเขียนไว้ว่า
เรื่องราวที่รวมศูนย์อยู่ที่วิหารคิงส์บริดจ์ในประเทศอังกฤษของศวรรษที่ 14 ตัวละครหลักคือเพื่อนในวัยเด็ก 4 คน ซึ่งมีความเกี่ยวพันกันตลอด 3 ทศวรรษต่อมา ร่วมกับชาวเมืองของยุคมืด
ในช่วงของการเปลี่ยนแปลงทางสังคมอย่างใหญ่หลวง ยุคสมัยที่ศาสนาและระบบขุนนางควบคุมชะตาชีวิตผู้คน สงครามร้อยปีระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส โรคระบาดซึ่งคร่าชีวิตคนไปหนึ่งในสามของทั้งทวีปยุโรป ความอดหยากจากสภาพอากาศที่เลวร้าย เหล่านั้นคือฉากหลังของชีวิตตัวละครในเรื่อง ตัวละครซึ่งมีทั้งความดีความเลว ความรักและความเกลียดชัง ความทะเยอทะยาน และริษยาอาฆาต ผู้อ่านจะมีความรู้สึกเหมือนเข้าไปอยู่ในสมัยนั้นอย่างแท้จริง ตัวละครทุกตัวมีชีวิตจิตใจมีเลือดเนื้อและจิตวิญญาณเหมือนเช่นคนธรรมดาที่พบเห็นได้ทั่วไป คนดีไม่จำเป็นว่าจะได้ผลตอบแทนในทางที่ดีเสมอไป และคนร้ายก็ไม่ถูกลงโทษไปเสียทุกครั้ง
นี่คือโลกของความจริง โลกซึ่งคนเหมาะสมเท่านั้นจะมีชีวิตอยู่รอด
ผู้แปล ดร.กุลธิดา บุญยะกุล ได้ให้ความเห็นในตอนท้ายของบทนำว่า
มีหนังสือมากมายที่เมื่อจบหน้าสุดท้ายแล้ว ผู้อ่านแทบจะจำอะไรไม่ได้เลย เพราะขาดความรู้สึกร่วมไปกับเนื้อหาและตัวละคร ในเวลาเดียวกันก็มีหนังสือเพียงไม่กี่เล่มที่แม้เมื่ออ่านจบแล้ว ความรู้สึกที่ได้จะยังคงค้างคาไปอีกนานเท่านาน...................
ผมเห็นด้วยกับท่านและขอชื่นชมผู้เขียน Ken Follett ที่สามารถถ่ายทอดเรื่องราวของประวัติศาสตร์ผ่าน 4 ตัวละครหลักเหมือนมีชีวิตอยู่จริงในยุคนั้น หนังสือเล่มนี้ไม่มีอะไรที่เกี่ยวข้องกับไวโอลิน แต่มีตัวละครหลักคนหนึ่งเป็นช่างไม้ผู้ต้องต่อสู้เพื่อให้ได้เป็นสมาชิกสมาคมช่าง ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถทำงานเลี้ยงชีพได้ ......... เป็นหนังสือดีที่อยากแนะนำครับ
i 7 i i
เรื่องที่ตั้งใจจะเขียนมันอยู่ในกล่องนี้ ด้วยความที่ยังอินอยู่กับหนังสือที่เพิ่งอ่านจบเมื่อคืนตอนตีหนึ่งครึ่งเลยอยากจะบันทึกไว้ซักนิดหนึ่งไว้เป็นความทรงจำกับหนังสือเล่มนี้
กล่องไวโอลินเป็นไม้ ไม้จริงๆ เลย คิดว่าเป็นไม้สน ทาวานิชสีดำข้างในบุด้วยกระดาษลวดลายสีดำไว้ สภาพเก่ามีกลิ่นที่่บ่งบอกถึงความเก่าทันที่ที่เปิดออก มาในสภาพที่เห็น ไวโอลินสีเข้มจัดสภาพมีรอยแตกหลายแห่ง
ลักษณะภายนอกที่เห็นผมมองว่ามันไม่ค่อยสวยเท่าไหร่ ทำให้รู้สึกมั่นใจว่ามันน่าจะเป็นไวโอลินแฮนด์เมด อุปกรณ์ต่างๆ ที่มาด้วยเป็นไม้ดี คือไม้มะเกลือ ebony ทั้งหมด
ส่วนหัวยังมีสายเก่าคาอยู่ที่ลูกบิด ดูจากสภาพแสดงว่าไวโอลินตัวนี้คงไม่ได้ใช้งานมานานมากแล้ว
ด้านหลังเป็นไม้เมเปิลชิ้นเดียว มีร่องรอยบ้างไม่รู้เป็นจากการทำหรือจากการใช้งาน การไสปรับรูปทรงด้านนอกยังดูไม่ค่อยสวยงาม
อีกจุดหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับไวโอลินตัวนี้คือ Saddle เป็นอีกรูปแบบหนึ่งที่เราอาจจะไม่ค่อยได้เห็น จริงๆ แล้ว Saddle สามารถทำได้ 3 แบบ แต่ที่เห็นส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่เราเห็น ๆ กันในปัจจุบัน จะมีก็ตัวนี้แหละที่ได้เห็นของจริงในแบบที่ 2 อีกแบบยังไม่เคยเห็นของจริงเหมือนกัน
อยากจะพูดถึง Saddle อีกนิดหนึ่ง โดยศัพท์ของมันแปลว่า อาน ซึ่งก็จะทำให้นึกถึงอานม้าไว้รองนั่งเวลาขี่ม้า คิดว่าคงทำให้นั่งสบายขึ้น....ผมคิดอย่างนั้นเพราะส่วนตัวไม่เคยนั่งม้ามาก่อน สำหรับไวโอลินเจ้า Saddle มันก็เอาไว้รองเหมือนกัน แต่ไว้รองเอ็นยึดหางปลา เนื่องจากไม้แผ่นหน้าเป็นไม้เนื้ออ่อน ถ้าไม่มีอานตัวนี้ เอ็นยึดหางปลาจะกดฝังจมลงในเนื้อไม้ อีกอย่างคือ อานตัวนี้จะทำให้สูงกว่าไม้แผ่นหน้า จะช่วยยกตัวให้เอ็นยึดหางปลามีความสูงจากแผ่นหน้า ทำให้หางปลาไม่ไปสัมผัสหรือกดทับไม้แผ่นหน้า ซึ่งประเด็นนี้จะมีต่อเสียงด้วยครับ
หางปลาเป็นไม้ ebony รูปทรงกับสัดส่วนที่แปลกออกไปคล้าย Frence style แต่เพรียวกว่ามาก
ภาพที่เห็นเป็นบล็อคหัวใหญ่ด้านบน ที่ยึดกับส่วนคนไว้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก สิ่งที่เห็นมันบอกว่าโครงสร้างรูปแบบของมันอาจจะเป็นอย่างอื่นก็ได้ ขอให้มันทำหน้าที่ของมันได้อย่างมีประสิทธิภาพผมถือว่าใช้ได้ และไม้ที่ใช้มันก็ไม่ใช่ไม้สนอย่างที่ใช้กันตามรูปแบบที่เรายึดถือกันในปัจจุบันด้วย
อีกจุดหนึ่งที่รู้สึกประทับใจกับไวโอลินตัวนี้คือ สภาพภายในครับ ที่เขาทำออกมาได้ดีเรียบร้อยสวยงามหนาบางอย่างที่ควรจะเป็น เบสบาร์เป็นแบบบิวท์อินด้วยแต่ทำออกมาดีมาก ไม่เหมือนกับลักษณะภายนอกที่ดูแล้วขัดๆ ผมสงสัยตั้งแต่แรกแล้วตอนที่ลองใส่สายทดสอบเสียง ทำไมเสียงมันดี แต่ทรงไม่สวย
สุดท้ายกับฉลากด้านในที่เหลืออยู่ที่พอจะอ่านได้ก็คือ Cremona ถัดมาก็ไม่ชัดเจนว่าคืออะไร ที่แน่ๆ คือบางส่วนขาดหายไป ส่วนด้านบนอาจเป็น i 7 i i หรือจะบอกว่าเป็น 1711 ผมก็ไม่แน่ใจ .....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น